ในสภาวะแวดล้อมทางการค้าโลกปัจจุบัน ประเด็นด้าน ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ถือเป็นความท้าทายสำคัญที่ผู้บริหารซัพพลายเชนจำเป็นต้องให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิด
มาตรการทางภาษีดังกล่าว ซึ่งเป็นการดำเนินการตอบโต้ระหว่างประเทศ ที่จะส่งผลกระทบต่อโครงข่ายซัพพลายเชนในระดับโลก (supply chain risk)
ถึงแม้ว่า ทิศทางและผลสรุปยังไม่ชัดเจน แต่สิ่งที่จะเกิดอาจจะเกิดการเปลี่ยนรูปแบบการค้าที่ยึดแนวทางการค้าเสรีภายใต้ WTO โดยเฉพาะหลักการ การไม่เลือกปฏิบัติ (Non-Discrimination)
การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษีตอบโต้นั้น มิใช่เป็นเพียงหน้าที่ของฝ่ายจัดซื้อจัดจ้างเท่านั้น แต่ควรจัดให้เป็นวาระสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่ผู้บริหารระดับสูงต้องกำกับดูแล
ผลกระทบของภาษีตอบโต้ต่อการบริหารจัดการซัพพลายเชน:
1. ผลกระทบต่อโครงสร้างต้นทุน:
การเพิ่มขึ้นของอัตราภาษีนำเข้าส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนรวมของสินค้า (Landed Cost) ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและศักยภาพในการแข่งขันขององค์กร
2. ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในซัพพลายเชน:
การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีอาจส่งผลให้คู่ค้า (Suppliers) เดิมประสบปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขัน หรือก่อให้เกิดความหยุดชะงักในการจัดหาวัตถุดิบและสินค้า
3. ความจำเป็นในการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนเชิงกลยุทธ์:
องค์กรอาจต้องพิจารณาทบทวนกลยุทธ์ด้านต่างๆ เช่น ด้านการจัดหา (Sourcing Strategy) การออกแบบเครือข่ายซัพพลายเชน (Supply Chain Network Design) และแนวทางการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) อย่างละเอียด
แนวทางปฏิบัติที่แนะนำสำหรับการเตรียมความพร้อม:
1. องค์กรควรเริ่มทบทวน ทัศนวิสัยของซัพพลายเชน (Supply Chain Visibility):
องค์กรจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบและสินค้า เส้นทางการขนส่ง และจุดที่มีความเสี่ยงด้านภาษี การมีข้อมูลที่ครอบคลุมจะช่วยสนับสนุนการวางแผนเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพ
2. การวิเคราะห์ผลกระทบด้านต้นทุน (Cost Impact Analysis):
องค์กรควรดำเนินการสร้างแบบจำลองสถานการณ์ (Scenario Modeling) เพื่อประเมินผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากอัตราภาษีที่เปลี่ยนแปลงไปต่อโครงสร้างต้นทุนและราคา โดยพิจารณาหลายฉากทัศน์ เช่น
ฉากทัศน์ 1: ภาษีเต็ม 36%
ฉากทัศน์ 2: ภาษีขึ้นบางส่วน เข่น 15%, 20%
ฉากทัศน์ 3: ขึ้นแต่ 10%
3. การวางแผนรองรับสถานการณ์จำลอง (Scenario Planning):
องค์กร จัดทำแผนเผชิญเหตุ (Contingency Plans) สำหรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การกำหนดแนวทางปฏิบัติหากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นในระดับต่างๆ หรือการระบุคู่ค้าสำรองในกรณีที่คู่ค้ารายหลักประสบปัญหา
4. การกระจายความเสี่ยงของแหล่งจัดหา (Supplier Diversification):
องค์การควรเริ่มลดการพึ่งพิงคู่ค้าจากประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินควร พิจารณาแสวงหาแหล่งจัดหาทางเลือก หรือประเมินความเป็นไปได้ในการจัดหาจากภูมิภาคใกล้เคียง (Nearshoring/Friend-shoring) หรือภายในประเทศ (Domestic Sourcing)
5. การทบทวนกลยุทธ์การบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory Strategy):
เพื่อหลีกเลี่ยงการสินค้าวัตถุดิบขาดมือ องค์กรอาจจะเพิ่มการสำรองสินค้าคงคลัง (Buffer Stock) สามารถช่วยลดผลกระทบจากการหยุดชะงักในระยะสั้นได้
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างประโยชน์ที่จะได้รับกับต้นทุนการถือครองและความเสี่ยงที่สินค้าจะหมดอายุหรือล้าสมัย
6. การประสานงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Close Collaboration):
ส่งเสริมการสื่อสารและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพกับคู่ค้า ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และลูกค้า เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง
7 การติดตามข้อมูลและสถานการณ์ปัจจุบัน (Stay Informed):
องค์กรควรมอบหมายให้มีหน่วยงานที่เฝ้าติดตามพัฒนาการทางการค้าระหว่างประเทศ นโยบายภาษี และพลวัตด้านภูมิรัฐศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ และจัดให้มีการประเมินสถานการณ์ทุกๆ สัปดาห์ในช่วงระยะ 3-6 เดือน ต่อจากนี้
การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษีตอบโต้นั้น มิใช่เป็นเพียงหน้าที่ของฝ่ายจัดซื้อจัดจ้างเท่านั้น แต่ควรจัดให้เป็นวาระสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่ผู้บริหารระดับสูงต้องกำกับดูแล เพื่อให้การพัฒนาซัพพลายเชนให้มีความยืดหยุ่น (Resilience) และความคล่องตัวในการปรับตัว (Agility) คือปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการความไม่แน่นอนนี้
Leave a Reply